เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ส.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วไปก็ยังคลำกันไปอยู่นะ ดูสิ ดูเขาเผยแผ่ธรรมะๆ กัน เกจิอาจารย์ต่างๆ พากันลุ่มพากันหลง พากันไปประสาเขา นี่ประสาเขานะ คำว่า “ประสาเขา” ถือขลังๆ แล้วเวลามันทุกข์มันขังอยู่ในหัวใจ ทุกข์ไม่มีใครดูแลมัน ทุกข์นี้ไม่มีใครเข้าใจนะ ทุกขัง อริยสัจจัง สัจจะความจริง แต่ไปถือขลังกัน ไปหาของที่พึ่งข้างนอก มันไม่หาของที่พึ่งข้างใน

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าพระพุทธรูปบังธรรม พระไตรปิฎกบังธรรม มันบังเพราะเราศึกษา เราคิดว่าเราเข้าใจไง เราคิดว่าเราเข้าใจ คนเราเกิดจากเวรจากกรรมนะ เวลาคนพิการเขาพิการทางร่างกาย แล้วเราไม่เห็นคนพิการทางจิตใจ ทางการรักษา ทางการแพทย์เขามีโรงพยาบาลรักษารักษาคนป่วยทางร่างกาย แล้วเขามีโรงพยาบาลรักษาคนป่วยทางจิตใจด้วย เวลาคนป่วยทางจิตใจ คนที่ขาดสติเขาส่งโรงพยาบาลบ้านั่นน่ะ นี่มีกายกับใจๆ

แต่ถ้าคนนะ ร่างกายเขาพิการของเขา คนเราเกิดจากเวรจากกรรม ถ้าเขาพิการของเขา แต่จิตใจของเขาเข้มแข็ง มีคนพิการหลายคนมากที่เขาเอามาเป็นแรงบันดาลใจให้คนทุกข์คนยาก เขาคนพิการขนาดนั้นเขายังสู้ชีวิตของเขาขนาดนั้น เขามีความสุขของเขา เขามีความยิ้มแย้มแจ่มใสของเขา เขารักษาชีวิตของเขา เพราะอะไรล่ะ เพราะหัวใจของเขาเข้มแข็ง หัวใจเขามีคุณธรรม คุณธรรมคืออะไรล่ะ? คุณธรรมคือมันไม่น้อยเนื้อต่ำใจ มันไม่ให้กิเลสครอบงำหัวใจมันไปไง

เวลาคนพิการ เห็นไหม เราร่างกาย ๓๒ เราไม่ได้พิกลพิการอะไรเลย ตีโพยตีพาย มีทุกข์มียาก คนพิการมันยังดำรงชีวิตของมันได้ มันยังทำประสบความสำเร็จในชีวิต ทำไมเขาทำได้ล่ะ เขาทำได้เพราะเขาเข้มแข็ง เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาพยายามขวนขวายของเขา เขาฝึกฝนของเขา เขาทำของเขาได้ แต่ของเราร่างกายอาการ ๓๒ ครบหมดเลย แต่หัวใจมันอ่อนแอ

เวลาพ่อแม่เลี้ยงลูก ถ้าเลี้ยงลูก ลูกมันดื้อ ลูกมันเห็นแก่ตัว ลูกมันเอาแต่ได้ จิตใจเขาอ่อนด้อย จิตใจของเขาไม่มีสติ ไม่มีอำนาจวาสนา แล้วคิดดูสิ กว่าจะโน้มน้าว กว่าจะดูแล เห็นไหม ฉะนั้น เวลาทางโลกเขาถึงบอกว่าวันนี้ได้กอดลูกหรือยัง ได้กอดลูกให้มีความอบอุ่นหรือยัง ให้กอดมัน ให้มีความเข้าใจกัน เพราะเวลาคุยกับมัน มันจะฟังเราบ้างไง เวลาคุยกับมันจะคุยกันรู้เรื่องไง แต่ถ้าไม่คุยกับมัน มันคุยกันไม่รู้เรื่อง มันคุยกันไม่รู้เรื่อง

ฉะนั้น เวลาเราเกิดมา บริษัท ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุบวชมาเพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร เกิดมาเวียนว่ายตายเกิด ภิกษุบวชมาก็เพื่อจะประพฤติปฏิบัติ ภิกษุณีก็บวชมาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ อุบาสก-อุบาสิกายังมีความจำเป็นในการดำรงชีวิต ยังมีความจำเป็นกับทางโลก เราก็ขวนขวายของเรา เราทำของเรา ถ้ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนเราก็ทำของเราขนาดนั้น

เวลาภิกษุบวชมา เห็นภัยในวัฏสงสารถึงบวชมา แล้วบวชมา เราจะมาเป็นนักรบ รบกับใครล่ะ? ก็รบกับหัวใจของตัวเองไง มันขี้เกียจ มันมักง่าย มันไม่เอาไหน แล้วพอไม่เอาไหนมันก็ว่าเลย “ของนั้นก็เล็กน้อย ของนี้ก็เล็กน้อย อู๋ย! ทุกขนิยม เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำอะไรลำบากไปหมดเลย”

แต่ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านธุดงค์สมัยท่าน ไปอยู่บนเขานะ เวลาจะมีน้ำใช้ ท่านต้องลงจากเขามาสรงน้ำ แล้วก็ตัดกระบอกไม้ไผ่เอาน้ำนั้นขึ้นไปเพื่อดำรงชีวิตของท่านด้วย ท่านไม่เห็นตีโพยตีพายอะไรเลย เพราะอะไร เพราะเราเลือกเอง

เวลาหลวงตาท่านออกไปธุดงค์ท่านบอกว่าเลือกบ้านน้อยๆ ๒ บ้าน ๓ บ้านก็พอ พอให้เขาใส่บาตรพอดำรงชีวิตท่านก็พอ ถ้าบ้านมันมากขึ้นไปเขาจะมากวน เขาเอื้ออาทรไง ขาดอะไร ขาดเทียนไหม ขาดน้ำไหม โอ๋ย! ขาดน้ำปานะหรือเปล่า เขาเอื้ออาทร เขาเป็นห่วงเป็นใย แต่พระมันเป็นกังวล มันเป็นการคลุกคลี เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการสติ เราต้องการสมาธิ เราต้องการปัญญา

ที่เรามาทำกันอยู่นี่เพราะใจมันพิการ ใจมันทรงตัวเองไม่ได้ บิณฑบาตมาก็เลี้ยงชีพเท่านั้นแหละ ดำรงชีวิตนี้ไว้เท่านั้น ดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ วันคืนล่วงไปๆ มันจะตายอยู่แล้ว คนเราอายุมันเผาลนมาตลอด แล้วมันจะมานอนใจอยู่กับอะไรล่ะ มันจะมานอนใจกับการอยู่การกิน เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ท่านมาเยี่ยมน่ะ “เอาไว้นอนใช่ไหม” เรื่องนอนนี้ท่านรังเกียจมาก “เอาไว้นอนใช่ไหม”

ท่านมาโพธารามไง ยังไม่มีอะไรเลย วัดยังไม่มีอะไรเลยนะ เราก็สั่งของ ท่านถาม “ทำอะไรน่ะ”

“ทำร้าน”

“เอาไว้นอนหรือ”

“ก็มันไม่มีสักหลังเลย”

“เอาไว้นอนหรือ เอาไว้นอน”

ท่านยังใส่ขนาดนั้นเลย เพราะอะไร เพราะเราไปเห็นสิ่งนี้เป็นความจำเป็นไง พอสิ่งนี้เป็นความจำเป็น เรื่องอื่นมันก็ด้อยหมดไง แต่ถ้าจิตใจเรามั่นคงนะ การอยู่การกินก็เท่านั้นแหละ การอยู่การกิน เพราะไม่กินมันก็ตาย มันก็ต้องรักษาชีวิตไว้ มันไม่ใช่โง่นี่ บอกอดอาหารๆ อดอาหารให้มันตายหรือ

เขาอดอาหารไว้ให้ธาตุขันธ์มันเบา พอมันเบาขึ้นมา จิตใจมันไม่มีอะไรไปครอบงำมันมาก เราจะภาวนาได้ง่ายขึ้น คำว่า “ง่ายขึ้น” นี่ภาวนายากลำบากขนาดไหน แล้วถ้าธาตุขันธ์มันไม่ทับ ความไม่ทับ เห็นไหม ดูสิ ของที่มันซ่อนไว้ ที่มันซ่อนเร้นไว้ เราหาก็ไม่เจอ ของที่มันวางไว้ เราเดินก็เจอใช่ไหม จิตใจที่ธาตุขันธ์มันทับหัวใจไว้มันก็หาไม่เจอใช่ไหม พุทโธขนาดไหนก็หาไม่ได้ พลิกฟ้าคว่ำดินก็หาไม่เจอสักทีหัวใจนี้

เราพอดำรงชีวิตเท่านั้นแหละให้ธาตุขันธ์มันไม่ทับจิต มันวางอยู่นั่นน่ะ เดินไปหยิบมันสิ พุทโธๆๆๆ เดินเข้าไปหามัน เดินเข้าไปชนกับมันนั่นน่ะ มันรอเราอยู่นั่นน่ะ หัวใจไม่มีหรือ หัวใจคนไม่มีใช่ไหม หัวใจมีกันทุกคน แต่ทำไมหามันไม่เจอ แล้วถ้าหาไม่เจอมันก็พิการไง มันก็รักษาใจตัวเองไม่ได้ไง ถ้ารักษาใจตัวเองไม่ได้ แล้วก็โทษปี่โทษกลองนะ “ภาวนาแล้วก็ไม่ได้” โทษเขาไปหมดเลย โทษคนอื่นไปทั้งนั้นเลย

จะโทษใครก็แล้วแต่ จะโทษใครหรือไม่โทษใครก็แล้วแต่ ก็บารมีเรามีแค่นี้ จะโทษใครหรือไม่โทษใคร เราเกิดมาเสวยภพเสวยชาติ เราเป็นมนุษย์อย่างนี้ สังคมก็เป็นสังคมของเขา เรื่องก็เรื่องของเขา เราก็รักษาหัวใจของเรา เพราะเรามาเพื่อจะค้นคว้าหัวใจของเรา เรามาเพื่อผลประโยชน์ของเรา เรามาเพื่อบุญกุศลของเรา เรามาเพื่อภาวนาของเรา เรามาเพื่อมรรคผลของเรา เรามาเพื่อศีล สมาธิของเรา เราไม่ได้มาเพื่อใครเลย เราไม่มาเพื่อใครแต่เรามาอาศัย เห็นไหม ดูสิ อาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยเป็นที่พึ่งอาศัย “พ่อแม่ครูจารย์ๆ” อาศัยท่าน อาศัยท่านเพราะว่าถ้าเราจะทำเองมันก็ทำไม่ได้ ถ้าทำเองก็ทำไม่เป็น ถ้าทำเองก็ไม่แน่ใจ เพราะอวิชชาเวลามันดิบๆ มันก้าวเดินไม่เป็นเลยล่ะ

แต่พอคนมาศึกษานะ เห็นไหม กิเลสบังเงา อาศัยธรรมะ อาศัยอ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเรารู้เราเห็น มันยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เลย ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด สมาธิตัวหนึ่งก็ยังไม่รู้จัก แล้วปัญญาๆ ปัญญาก็บอกว่า “กูสมองเยอะขนาดนี้ คิดได้หมด เก่งขนาดนี้ทำไมไม่มีปัญญา”

แล้วมีปัญญาทำไมไม่เห็นสมาธิของตัว ถ้ามันมีปัญญายังไม่เข้าถึงหัวใจของตัว เห็นไหม ของที่วางอยู่กลางหัวอก ถ้ามันยังไม่เจอของมัน มันจะเอาปัญญาอะไร ปัญญาที่รู้จักตัวเองมันยังหาไม่ได้ ปัญญาที่รู้จักตัวเองยังไม่รู้ แล้วมันจะมีปัญญาอะไร ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญากิเลสพาใช้ กิเลสอวิชชาคือความไม่รู้ ศึกษาธรรมะก็ศึกษาด้วยความไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ มันจะรู้อะไร

แต่ถ้ามันค้นคว้านะ เราพุทโธๆ วางไว้ก่อน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามา ต้องศึกษา ศึกษามาเพื่อความผ่องแผ้ว ศึกษามาเพื่อความลงใจ เพราะคนเราไม่ลงใจ ทำอะไรด้วยความไม่ลงใจมันละล้าละลังใช่ไหม เราศึกษาให้ลงใจ พอลงใจแล้ววางไว้ นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลิขสิทธิ์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์กับใครทั้งสิ้นเลย เพราะปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เพราะภูมิปัญญาอย่างนี้ ถ้าคนทำขึ้นมาได้จริงมันจะรื้อหัวใจดวงนั้น ดวงที่ทุกข์ที่ยาก ที่พิกลพิการอยู่นี่ ถ้ามันรู้จริงของมันขึ้นมานะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยปัญญา ด้วยลิขสิทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไปศึกษามาเพื่อความลงใจว่าเราจะทำ เราจะมุ่งมั่น เราจะประพฤติปฏิบัติของเราให้ใจมันลงใจ แล้วให้มันทำจริงทำจังของมันขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเป็นของเรา เป็นของเราเพราะมันเกิดจากใจที่พิการให้มันสมบูรณ์ขึ้นมา

ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิจิตใจจะสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วพอมันสมบูรณ์ขึ้นมานะ มันสะเทือนใจ มันมีความสะเทือนใจ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” จิตมันสงบ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

พุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเราก็ไปหากัน พุทโธเป็นอย่างไร พุทโธเป็นอย่างไร

พอมันเป็นพุทโธ ชื่อกับตัวจริงมันไม่เหมือนกัน ชื่อมันส่วนชื่อ เวลาพุทโธ พุทโธมันเวิ้งว้าง พุทโธจนเรียกขานชื่อตัวเองไม่ได้ เวลามันเป็น มันเรียกขานชื่อตัวมันเองไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชื่อมันไว้ว่าพุทธะ แต่เวลาเราไปเจอจริงๆ เอ๊อะ! เอ๊อะ! มันขานชื่อตัวมันไม่ถูก แล้วมันมหัศจรรย์ขนาดไหน แล้วพอมันใช้ปัญญาไป เกิดภาวนามยปัญญาไป ปัญญาที่เป็นสัจธรรม ปัญญาที่เป็นมรรคขึ้นมา นี่! นี่! ถ้ามันจะมีปัญญามันมีปัญญาอย่างนี้ ปัญญาเอาตัวรอด

แล้วมันเอาตัวรอดได้ มันพิจารณาไป เวลามันสะเทือนใจนะ ธรรมสังเวช น้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ เลย ดูสิ เราทุกข์เรายาก คนใกล้ชิดเราเสียชีวิตไป อู๋ย! ร้องห่มร้องไห้กัน กอดคอกัน นั่นล่ะความทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่เวลามันธรรมสังเวช เวลามันจะไปรื้อสิ่งที่เป็นฟอสซิลในหัวใจ คือกิเลสที่มันสะสมมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ พอมันไปสะเทือนอย่างนั้นนะ อู้ฮู! น้ำหูน้ำตามันสะเทือน สิ่งนี้เขาเรียกว่า “ธรรม” มันไม่ใช่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ มันไม่ใช่สะเทือนใจด้วยความผูกพัน ความเจ็บช้ำน้ำใจ ความกระเสือกกระสน

นี่มันร้องไห้ บ๊ายบาย ลากันที ลาแล้วเนาะ มันสะเทือนใจไง น้ำหูน้ำตาไหลนะ พอกันที เอ็งอย่ามาปิดหูปิดตากูเลยว่ะ พอกันทีๆ นี่มันสะเทือนใจอย่างนั้น ถ้าสะเทือนใจอย่างนี้ นี่น้ำตาที่ล้างภพล้างชาติ

กับน้ำตาที่ผูกภพผูกชาติไว้ ยิ่งน้ำตาไหลยิ่งมีความสะเทือนใจ ยิ่งน้ำตาไหลยิ่งเจ็บช้ำ ยิ่งน้ำตาไหลยิ่งจะไปแก้แค้นเขา ยิ่งน้ำตาไหลยิ่งจะไปเอาความประสบความสำเร็จ กับเวลาน้ำตาไหลนะ โบกมือลา โบกมือลา พอกันแล้ว พอๆ แล้วมันพอที่ไหนล่ะ มันพอที่ไหนล่ะ? มันพอในดวงใจนั้นใช่ไหม ปฏิสนธิจิต จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม แล้วถ้ามันรู้มันเห็นจริงของมัน มันจะเวียนว่ายตายเกิดไหม เพราะมันรู้มันเห็น เราจะเดินเข้าไปลุยกองไฟไหม เราไม่ใช่คนบ้า กองไฟใครจะลุยเข้าไป

แต่นี่มันไม่รู้ไม่เห็นกองไฟ เห็นไหม แมลงเม่ามันบินเข้ากองไฟ เห็นแมลงเม่าไหม โอ้โฮ! มันสวยงาม โอ้โฮ! ที่รื่นเริง เข้าไปตายหมด บินเข้าไปตายหมด นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่รู้ก็บินเข้าไป ไม่รู้ก็แมลงเม่า เวียนว่ายตายเกิดก็แมลงเม่า มันไปของมัน มันต้องไปของมันอย่างนั้นโดยสัญชาตญาณของมัน มันรู้ของมันอย่างนั้น มันเข้าใจอย่างนั้น มันต้องไปอย่างนั้น

แล้วถ้าเรามีมรรคญาณขึ้นมา มันรู้มันเห็นของมัน แล้วจะเข้าไปไหม เราจะบินเข้าไปไหม เราจากแมลงเม่ากลายเป็นคน มันพิการมันก็เป็นแมลงเม่า พอมันเป็นคนขึ้นมา มันสมบูรณ์ขึ้นมามันก็เป็นคน เป็นคนขึ้นมา เราจะเข้าไปในกองไฟนั่นน่ะ

กองไฟนั้นเป็นพลังงาน กองไฟนั้นเขาเอาไว้ใช้ประโยชน์เพื่อความอบอุ่น เพื่อทำอาหาร เดี๋ยวเราจะเอาหม้อข้าวไปตั้งบนนั้น เราจะได้ข้าวกินจากกองไฟนั้น นี่มันฉลาดขึ้นมา มันไม่บินเข้าไปหรอก บินเข้าไปก็ตายหมด

ธรรม สัจธรรมที่เราแสวงหา แสวงหาอย่างนี้ เราทำเพื่อเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นความจริงอันนั้น แล้วถ้าใครประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมาแล้วอันเดียวกัน อันเดียวกันๆ แต่ถ้ายังไม่อันเดียวกัน พูดปากเปียกปากแฉะ ปากเปียกปากแฉะ พูดธรรมะปากเปียกปากแฉะ แต่พฤติกรรมมันไม่ใช่

ถ้าพฤติกรรมมันใช่นะ ดูครูบาอาจารย์เราสิ หลวงปู่ขาวท่านมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ ครูบาอาจารย์เราท่านมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ จิตใจมันมีธรรม มีความสงบ มีความระงับ มันไม่ดิ้นรน มีความสุขกับความสงบ มีความสุขกับใจตัวเอง มีความสุขอยู่นิ่งๆ อยู่เฉยๆ นี่มีวิหารธรรม

แต่พูดธรรมะปากเปียกปากแฉะ ดิ้นเหมือนกับหมาบ้า หมุนไปทั่วโลก อันนั้นเป็นธรรมหรือ อันนั้นมันเป็นบริษัททัวร์ บริษัททัวร์เขาหาสตางค์ เที่ยวรอบโลก เที่ยวรอบโลก บริษัททัวร์ ลด ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไป ๑๐ คน แถมคนหนึ่ง อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นหรือมีคุณธรรม นั่นล่ะหมาขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนแสดงธรรมะ ไปเผยแผ่ธรรม นั่นล่ะหมาขี้เรื้อน

แต่ดูหลวงปู่เสาร์ ดูหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขา ดูหลวงปู่ขาวอยู่ในทางจงกรม หลวงตาท่านไม่ไปหาใครทั้งสิ้น มีสิ่งใดเกิดขึ้น เข้าทางจงกรม ปรึกษาธรรม ธรรมมันสว่างไสวขึ้นท่ามกลางหัวใจ ธรรมะจะบอก ธรรมะจะสอน ธรรมะจะกล่อมเกลา

เรามากระทำเพื่อนี่ ถ้าศึกษาธรรมๆ ให้มั่นใจ เราจะมีธรรมะกล่อมเกลา เราจะมีวิหารธรรม เราจะมีเครื่องอยู่ของเรา อยู่นิ่งๆ มีความสุข ไม่ต้องไปวิ่งหา ไป ๑๐ คน แถมคนหนึ่งนะ จะไปเที่ยว ไปทัศนศึกษา นี่ไง หมาขี้เรื้อน แสดงธรรมนะ เผยแผ่ธรรมนะ

แต่ความจริง ดูครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่าง หลวงปู่ขาวเดินจงกรมวันละ ๓ เส้น มีคุณธรรม มีวิหารธรรม มีความสุขกับการเดินจงกรม มีความสุขกับการนั่งสมาธิภาวนา นี่หัวใจที่มีธรรมอยู่นิ่งๆ มีความสุข เอวัง